ภาพตรุษญวน ปี 2554 ตรงกับปีแมว (แทนปีกระต่าย) ชาวเวียดนามนำแมวออกมารับประทาน (น่าสงสารแมวน้อยน่ารัก)ประวัติศาสตร์แมวสากลแมวเป็นสัตว์กินเนื้อสืบเชื้อสายมาจากแมวป่าที่มีขนาดใหญ่กว่า แมวเริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่เมื่อประมาณ 9,500 ปีก่อน ซึ่งจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดของแมวคือการทำมัมมี่แมวที่ค้นพบในสมัยอียิปต์โบราณ หรือในพิพิธภัณฑ์อังกฤษในกรุงลอนดอน มีการแสดงสมบัติที่นำออกมาจากปิรามิดโบราณแห่งอียิปต์ ซึ่งรวมถึงมัมมี่แมวหลายตัว ซึ่งเมื่อนำเอาผ้าพันมัมมี่ออกก็พบว่า แมวในสมัยโบราณทุกตัวมีลักษณะใกล้เคียงกัน คือเป็นแมวที่มีรูปร่างเล็ก ขนสั้นมีแต้มสีน้ำตาล มีความคล้ายคลึงกับพันธุ์ในปัจจุบัน ที่เรียกว่าแมวอะบิสสิเนียน ชาวอียิปต์โบราณจะนับถือแมวมาก หากผู้ใดฆ่าแมวแม้จะโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็มีโทษถึงตาย ชาวอียิปต์โบราณนับถือเทพีบาสต์ ซึ่งมีศีรษะเป็นแมว หากบ้านใดแมวตายคนบ้านนั้นต้องโกนคิ้วไว้ทุกข์แด่แมว มัมมี่แมวของชาวอียิปต์โบราณนั้น โลงส่วนใหญ่ทำมาจากโลหะที่มีค่า เช่น บรอนซ์ หรือไม่เก็เป็นไม้ที่หายากในอียิปต์ แต่เป็นที่เสียดาย ในศตวรรษที่ 19 มัมมี่มีแมวทั้งหมด 3 แสนตัวถูกนำไปทำปุ๋ยที่เมืองลิเวอร์พูล ในอังกฤษ (สมัยนั้นอียิปต์เป็นอาณานิคมของอังกฤษแถมมีการนำมัมมี่ต่างๆ ที่ขุดพบนำไปทำเชื้อเพลิงรถไฟ เพราะหาง่ายกว่าไม้) ถึงชาวอียิปต์โบราณจะเคารพแมวมาก แต่ว่าในพระคัมภีร์ (คัมภีร์ไบเบิล) ไม่มีข้อความไหนกล่าวถึงแมวเลยแม้แต่สมัยที่ชาวอิสราเอล อยู่ในอียิปต์ก็ไม่ได้กล่าวถึงแมวในช่วงนั้นเลย ต่อมาชาวฟินิเซียนผู้เชี่ยวชาญการเดินเรือได้แอบนำแมวออกจากอียิปต์ แล้วแมวก็ได้แพร่กระจายไปทั่วโลกเกิดสายพันธุ์ใหม่ๆ ขึ้นมา ใช่วงยุโรปยุคกลางนั้นมีการตามล่าแม่มดเกิดการฆ่าแมวเกิดขึ้น แต่ในที่สุดก็มีกาฬโรคของหนูดำจากเอเชียมาฆ่าชีวิตผู้คน บ้านไหนเลี้ยงแมว บ้านนั้นก็รอดตัวไป ในประวัติศาสตร์จีนนั้นไม่มีการนำแมวมาลงใน 12 นักษัตร เหมือนเวียดนาม เพราะคนจีนสมัยก่อนยังไม่รู้จักแมว และในราชสำนักจีนห้ามเลี้ยงแมว เพราะพระนางบูเช็คเทียน (อู่เจ๋อเทียน武则天Wǔ Zétiān) ทรงประหารพระมเหสีหวางและพระสนมเซียว พระมเหสีหวางทรงสรรเสริญพระนางบูเช็คเทียนว่า นี่เป็นกรรมของพระนาง (พระมเหสีหวาง) เอง นางสมควรรับกรรม ขอพระองค์ (พระนางบูเช็คเทียน) ทรงพระเจริญเทอญ ส่วนพระสนมเซียว ตรัสสาปแช่งพระนางบูเช็คเทียนว่า เกิดชาติหน้าขอให้ตนเป็นแมว พระนางบุเช็คเทียนเป็นหนู เพื่อจะได้ไล่ตะครุบหนูตลอดไป (พระเมหสีหวาง ช่างดีจริงๆ ยอมรับกรรมก่อนตายไม่อาฆาตแค้นใคร แต่พระสนมเซียวสิก่อนตายดันไปสาปแช่งอีก...) หลังจากนั้นราชสำนักจีนจึงห้ามมีการเลี้ยงแมวตลอดจนสถาบันพระมหากษัตริย์จีนล่มสลาย
ประวัติศาสตร์แมวไทยแมวไทยอาจจะเป็นแมวไทยที่มีถิ่นกำเนิดในไทยแท้ๆ หรืออาจจะมาจากการกลายพันธุ์ของแมวอียิปต์โบราณก็ได้ คนไทยน้อยคนนักที่จะรู้จักว่าแมวไทยจริงๆนั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร ทว่าแมวไทยพันธุ์แท้นั้นกลับไปมีชื่อเสียงโด่งดังที่ต่างประเทศมากกว่าในเมืองไทย ทั้งยังได้รับการยกย่องว่าเป็นพันธุ์อันเลิศพันธุ์หนึ่งในโลก และมีความมหัศจรรย์ยิ่งกว่าพันธุ์ใดๆ เมื่อปี พ.ศ. 2427 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้พระราชทานแมววิเชียรมาศคู่หนึ่งให้แก่ กงสุลอังกฤษชื่อนาย โอเวน กูลด์ (Owen Gould) ชาวอังกฤษชื่อนายโอเวน กูลด์ (Owen Gould) กงสุลอังกฤษประจำกรุงเทพฯ ได้นำแมวไทยคู่หนึ่งจากประเทศไทยไปฝากน้องสาวที่อังกฤษ อีกหนึ่งปีต่อมา แมวคู่นี้ถูกส่งเข้าประกวดในงานประกวดแมวที่คริสตัลพาเลซ กรุงลอนดอน ปรากฏว่าชนะเลิศได้รางวัลที่หนึ่ง ทำให้ชาวอังกฤษพากันแตกตื่นเลี้ยงแมวไทยกันจนมีสโมสรแมวไทยเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2443 ชื่อว่า The Siamese Cat Clubs ต่อมาในปี พ.ศ. 2471 ได้มีการตั้งสมาคมแมวไทยแห่งจักรวรรดิอังกฤษขึ้น หรือ The Siamese Cat Society of the British Empire ขึ้นมาอีกสมาคมหนึ่ง ในสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพุฒาจารย์ พุทธสโร ได้ไปเที่ยวกรุงศรีอยุธยาร้าง แล้วไปเจอสมุดข่อยที่ไม่ถูกเผา จึงนำสมุดข่อยกลับมา ในสมุดข่อยโบราณได้กล่าวถึงแมวไทยไว้ถึง 23 ชนิด ซึ่งเป็นแมวดี (แมวให้คุณ) 17 ชนิด และแมวร้าย (แมวให้โทษ) 6 ชนิด ซึ่งในปัจจุบันได้สูญพันธุ์ไปแล้ว 13 ชนิด เหลือเพียง 4 ชนิดเท่านั้นในปัจจุบัน ได้แก่แมววิเชียรมาศ แมวโคราช แมวศุภลักษณ์ และแมวโกญจา ส่วนแมวขาวมณีนั้นแม้จะไม่ได้บันทึกอยู่ในสมุดข่อยก็ตาม แต่ก็ถือเป็นแมวไทย ต่อมาภายหลังได้ค้นพบแมวแซมเสวตรซึ่งเดิมทีเคยเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว โดยค้นพบไม่กี่ปีมาน
ชนิดของแมวไทยแมวให้คุณ 17 ชนิด1. แมววิเชียรมาศตรงกับความหมายว่า "เพชรแห่งดวงจันทร์" หรือ "Moon Diamond" บางตำราก็เรียก "แมวแก้ว" ซึ่งก็ตรงกับคำว่า "วิเชียร" แมวชนิดนี้มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแมวเก้าแต้มเสมอ ที่จริงแล้วไม่ถูกต้อง แมวเก้าแต้มคือแมวที่มีสีพื้นสีขาว และมีแต้มบนร่างกาย 9 แห่ง แมววิเชียรมาศ เป็นแมวไทยโบราณที่มักเลี้ยงกันในวัง ตั้งแต่สมัยอยุธยา และเป็นแมวมงคลตามตำรา มักกล่าวว่าแมวมงคลคนธรรมดาสามัญชนไม่สามารถเลี้ยงได้ เมื่อสมัยเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่2 แมวไทย 17ชนิดในพระราชวังของกรุงศรีอยุธา ได้ถูกพวกพม่า และเชลย ได้นำไปพม่า เพราะพม่าคิดว่า แมวไทยคือทรัพย์สินที่มีค่าชนิดนึงเนื่องจากแมวไทยในอยุธยาสามารถซื้อขายได้ถึง 1แสนตำลึงทอง หากใครมีแมวชนิดนี้จึงนำมาขายแก่วัง ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้แมวไทยสูญพันธุ์ หลังจากนั้น แมววิเชียรมาศก็สาบสูญหายไปจากประเทศไทย ต่อมา สมเด็จพุฒาจารย์ พุทธสโร ได้ไปเที่ยวกรุงศรีอยุธยาร้าง แล้วไปเจอสมุดข่อยที่ไม่ถูกเผา จึงนำสมุดข่อยกลับมา แล้วให้คนไปไล่ต้อนจับแมววิเชียรมาศ จนได้แมววิเชียรมาศกลับมาสู่ประเทศไทยอีกครั้ง
ภาพแมววิเชียรมาศจากสมุดข่อยโบราณ
บทกวีที่กล่าวถึงแมววิเชียรมาศ ปากบนหางสี่เท้า โสตสอง
แปดแห่งดำดุจปอง กล่าวไว้
ศรีเนตรดั่งเรือนรอง นาคสวาดิ ไว้เอย
นามวิเชียรมาศไซร้ สอดพื้นขนขาวแมววิเชียรมาศถูกใช้เป็นแมสคอทในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ 1995 ที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นเจ้าภาพ โดยแมววิเชียรมาศตัวนี้มีชื่อว่า "สวัสดี" (Sawasdee)
2. แมวศุภลักษณ์เรียกอีกชื่อว่า แมวทองแดง มีสีทองแดงหรือน้ำตาลแดงเข้มทั่วตัว อาจมีสีเข้มเป็นพิเศษตำแหน่งเดียวกับแมววิเชียรมาส แมวศุภลักษณ์ เป็นแมวที่มีความกระตือรือร้นอยู่เสมอ อยากรู้อยากเห็น ชอบผจญภัย รักอิสระเสรีเหนืออื่นใด ชอบสนใจสิ่งต่าง ๆ รอบตัว กับคนแปลกหน้าแล้วมันดูจะเป็นแมวที่ร้ายพอสมควร ว่ากันว่าแมวชนิดนี้เป็นแมวที่ได้ติดตามเจ้าของที่เป็นคนไทยซึ่งถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยศึกที่พม่า เมื่อความนิยมได้แพร่หลายมากขึ้น ชาวต่างชาติจึงได้นำไปจดทะเบียนเป็นแมวสายพันธุ์หนึ่งของโลก โดยใช้ชื่อว่า Burmese แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าต้นกำเนิดอยู่ที่เมืองไทยนี่เอง ผู้ใดเลี้ยงไว้มีแต่จะเพิ่มยศยิ่งขึ้นไป ปัจจุบัน ในเมืองไทยหายากมากแต่มีทั่วไปในอเมริกาและอังกฤษ ซึ่งได้มีการพัฒนาผสมพันธุ์กัน จนได้แมวในลักษณะ สีอื่น ๆ มากมาย ทำนองคล้ายพันธุ์วิเชียรมาศที่แยกออกไปถึง 8 พันธุ์
ภาพแมวศุภลักษณ์จากสมุดข่อยโบราณ
บทกวีที่กล่าวถึงแมวศุภลักษณ์ วิลาศุภลักษณ์ล้ำ วิลาวรรณ
ศรีดังทองแดงฉัน เพริศแพร้ว
แสงเนตรเฉกแสงพรรณ โณภาษ
กรรษสรรพโทษแล้ว สิ่งร้ายคืนเกษม3. แมวมาเลศแมวโคราช หรือ แมวมาเลศ ต้นกำเนิดพบที่อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา หรือที่รู้จักกันในนามว่าโคราช มีหลักฐานบันทึกเกี่ยวกับแมวโคราชในสมุดข่อยที่เขียนขึ้นในระหว่างปี ค.ศ. 1350-1767 หรือประมาณ พ.ศ. 1893-2310 ในบันทึกได้กล่าวถึงแมวที่ให้โชคลาภที่ดี 17 ตัวของประเทศไทย รวมถึงแมวโคราชด้วย ปัจจุบันสมุดข่อยนี้ถูกเก็บไว้ที่หอสมุดแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร แมวเพศผู้มีสีเหมือนดอกเลา จึงเรียก แมวสีดอกเลา โดยจะต้องมีขนเรียบ ที่โคนขนจะมีสีขุ่น ๆ เทา ในขณะที่ส่วนปลายมีสีเงิน เป็นประกายคล้ายหยดน้ำค้างบนใบบัว หรือเหมือนคนผมหงอก ชื่อแมวโคราช เป็นชื่อที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โดยใช้แหล่งกำเนิดของแมวเป็นชื่อเรียกพันธุ์แมว มีเรื่องเล่ามากมายหรือเป็นตำนานเล่าขานเกี่ยวกับแมวโคราช รวมถึงตำนานพื้นบ้านที่กล่าวถึงการที่แมวโคราชมีหางหงิกงอมากเท่าไหร่จะมีโชคลาภมากเท่านั้น (แม้ว่าลักษณะหางหงิกงอไม่ใช่มาตรฐานพันธุ์ตามหลักของ CFA ก็ตาม) แต่คนไทยบางกลุ่มจะเรียกแมวโคราชว่า แมวสีสวาด แมวโคราชได้ถูกนำไปเลี้ยงในสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรกโดย Cedar Glen Cattery ในมลรัฐโอเรกอน โดยได้รับมาจากพี่น้องชื่อ นารา (Nara) และ ดารา (Darra) ในวันที่ 12 มิถุนายน ปี พ.ศ. 2502 ประมาณเดือนมีนาคม ปี พ.ศ. 2509 นักผสมพันธุ์แมวโคราชและแมวไทย (วิเชียรมาศ) ชาวรัฐแมริแลนด์ ได้นำแมวโคราชประกวดในงานประจำปีและ ได้รับรางวัลชนะเลิศและเป็นที่รู้จัก ปัจจุบันได้มีการผลักดันให้แมวโคราชขึ้นทะเบียนเป็นสัตว์ประจำชาติไทย ในปี พ.ศ. 2552
ภาพแมวมาเลศจากสมุดข่อยโบราณ
บทกวีที่กล่าวถึงแมวมาเลศ วิลามาเลศพื้น พรรณกาย
ขนดังดอกเลาราย เรียบร้อย
ตาดั่งน้ำค้างย้อย หยาดต้องสัตบง
โคนขนเมฆมอปลาย ปลอมเสวตรแมสคอทซีเกมส์ 1985
แมสคอทแมวมาเลศได้ถูกใช้เป็นแมสคอทประจำการแข่งขันกีฬาซีเกมส์มาแล้วถึง 2 ครั้ง ได้แก่ ซีเกมส์ 1985 ที่กรุงเทพมหานครเป็นเจ้าภาพ และ ซีเกมส์ 2007 ที่จังหวัดนครราชสีมาเป็นเจ้าภาพ โดยแมวมาเลศตัวนี้มีชื่อว่า "แคน" (Can) อันเนื่องจากแมวมาเลศมีถิ่นกำเนิดที่ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมานั่นเอง
"แคน" แมสคอทซีเกมส์ 2007
4. แมวโกนจา
โกนจา หรือ โกญจา แปลว่า นกกระเรียน แมวชนิดนี้เป็นแมวสีดำสนิทตลอดทั้งตัว ขนสั้น ไม่มีสีอื่นใดปะปนเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีลักษณะเป็นขนเส้นเล็กละเอียดนุ่มและเรียบตรงทั้งลำตัว ส่วนหัวกลมแต่ไม่โต มีปากเรียวแหลม หูตั้ง นัยตาเป็นสีเหลืองอมเขียวหรือทองอ่อน อาจเปรียบได้กับดอกบวบแรกแย้มหรือทองดอกบวบ รูปร่างสะโอดสะองคล่องแคล่ว หางยาว ปลายหางแหลมตรง อุ้งเท้าทอดคล้ายเท้าสิงห์ มีความสง่างามขณะเคลื่อนไหว
แมวสายพันธุ์โกนจา มีลักษณะคล้ายกับแมวสายพันธุ์ต่างชาติอีกสายพันธุ์หนึ่ง คือ บอมเบย์
บทกวีที่กล่าวถึงแมวโกนจา กายดำคอสุดท้อง ขาขนเลเอียดเฮย
ตาดั่งศรีบวบกล ดอกแย้ม
โกนจาพนนิพนธ์ นามกล่าว ไว้นา
ปากแลหางเรียวแฉล้ม ทอดเท้าคือสิงห์5. แมวนิลรัตน์ แมวนิลรัตน์ เป็นแมวมีสีดำสนิททั้งตัว ขนเป็นมันแวววาว นอกจากนั้น เล็บ ลิ้น ฟัน และนัยน์ตา ยังเป็นสีดำอีกด้วย หางเรียวยาว ตวัดได้ถึงศีรษะ ค่อนข้างหายาก หากใครเลี้ยงไว้จะได้ทรัพย์สินเพิ่มพูน
บทกวีที่กล่าวถึงแมวนิลรัตน์ สมยานามชาติเชื้อ นิลรัตน์
กายดำสิทธิสามรรถ เลิศพร้อม
ฟันเนตรเล็บลิ้นทัต นิลคู่ กายนา
หางสุดเรียวยาวน้อม นอบโน้มเสมอเศียร6. แมววิลาศแมววิลาศ มีสีดำเกือบทั้งตัว ขนเรียบ ยกเว้นใบหูทั้ง 2 ข้าง ปากล่างลงมาถึงหน้าอก ปลายเท้าทั้ง 4 และจากท้ายทอยบนหลังจนถึงปลายหางมีสีขาว หางเรียวยาว นัยน์ตาสีเข้ม รูปร่างสวยงามน่ารัก ใครเลี้ยงจะได้เป็นเจ้าคนนายคน มีทรัพย์สินบริบูรณ์
บทกวีที่กล่าวถึงแมววิลาศ ราวคอทับถงาดท้อง สองหู
ขาวตลอดหางดู ดอกฝ้าย
มีเสวตรสี่บาทตรู สองเนตร์ เขียวแฮ
งามวิลาศงามคล้าย โภคพื้น กายดำ7. แมวเก้าแต้ม เป็นแมวสีขาว มีสีดำแต้มสีดำรวมเก้าแห่ง คือ บริเวณหัว คอ โคนขาหน้าและโคนขาหลังหลังทั้ง 4 ข้าง ไหล่ทั้ง 2 ข้าง และโคนหาง ลักษณะแต้มสีดำนี้จะเป็นวงกลมหรือปื้นเหลี่ยมก็ได้ ปลายหางเรียวยาว สีขาว ใครได้แมวเก้าแต้มไว้เลี้ยงดูก็จะทำให้การค้าขายรุ่งเรือง ร่ำรวย คนไทยโบราณมักเลี้ยงไว้ในพระราชสำนัก
บทกวีที่กล่าวถึงแมวเก้าแต้ม สลับดวงคอโสตรัตต้น ขาหลัง
สองไหล่กำหนดทั้ง บาทหน้า
มีโลมดำบดบัง ปลายบาท สองแฮ
เก้าแห่งดำดุจม้า ผ่าพื้นขาวเสมอ8. แมวรัตนกำพลแมวรัตนกำพล มีขนสีขาวดั่งหอยสังข์ยกเว้นบริเวณลำตัวมีสีดำคาดไว้ นัยน์ตาสีทอง ตามความเชื่อ ถ้าใครเลี้ยงไว้จะมียศถาบรรดาศักดิ์ และมีอำนาจบารมี
บทกวีที่กล่าวถึงแมวรัตนกำพล สมยากาเยศย้อม สีสังข์
ชื่อรัตนกำพลหวัง ว่าไว้
ดำรัดรอบกายจัง หวัดอก หลังนา
ตาดั่งเนื้อทองได้ หกน้ำเนียรแสง9. แมวนิลจักรนิลจักร เป็นแมวสีดำอีกชนิดหนึ่ง บริเวณลำคอมีขนขาวเป็นวง เหมือนมีจักรหรือพวงมาลัยคล้องคอ ใครเลี้ยงไว้ จะมากด้วยทรัพย์สินเงินทอง
บทกวีที่กล่าวถึงแมวนิลจักร นิลจักรบอกชื่อช้อย ลักษณา
กายดุจกลปีกกา เทียบแท้
เสวตรจอบรัดกรรฐา โดยที่
เนาประเทศได้แม้ ดั่งนี้ควรถนอม10. แมวมุลิลาแมวมุลิลานี้ เป็นแมวขนสีดำ ขนเรียบเป็นมัน แต่บริเวณสองหูเป็นสีขาว นัยน์ตาสีเหลืองราวกลีบดอกเบญจมาศ แมวชนิดนี้ ตำราว่าให้เลี้ยงได้เฉพาะพระสงฆ์ ไม่ควรเลี้ยงตามบ้าน
บทกวีที่กล่าวถึงแมวมุลิลา มุลิลาปรากฏแจ้ง นามสมาน
ใบโสตสองเสวตรปาน ปักล้วน
ศรีตาผกาบาน เบญจมาศ เหลืองนา
หางสุดโลมดำถ้วน บาทพื้นกายเศียร11. กรอบแว่นกรอบแว่น หรือ อานม้า เป็นแมวมีขนสีขาวทั้งตัว ยกเว้นกลางหลังนั้นจะมีสีดำเหมือนอานม้าอยู่ และบริเวณขอบตาทั้งสองข้างเป็นสีดำ เหมือนกรอบแว่นตา ใครเลี้ยงไว้จะมีค่ามหาศาล และทำให้มีเกียรติยศชื่อเสียง
บทกวีที่กล่าวถึงแมวกรอบแว่น นามกรอบแว่นพื้น เสวตรผา
ขนดำเวียนวงตา เฉกย้อม
เหนือหลังดั่งอานอา ชาชาติ
งามดั่งวงหมึกพร้อม อยู่ด้าว ใดแสวง12. แมวปัดเสวตรแมวปัดเสวตร (อ่านว่า แมว-ปัด-สะ-เวด) หรือ ปัดตลอด แมวชนิดนี้มีขนสีดำเป็นมันราบเรียบ ยกเว้นปลายจมูกจนถึงปลายหางมีสีเหลืองดั่งพลอยสะท้อนแสง ใครเลี้ยงไว้จะช่วยชูชื่อเสียงวงศ์ตระกูลให้เป็นที่รู้จักทั่วไป
บทกวีที่กล่าวถึงแมวปัดเสวตร ปัศเวตลักษณนั้น ปลายนา ษาฤๅ
ขาวตลอกหางหา ยากพร้อม
รลุมเฉกสลับตา กายเฟพ เดียวแฮ
ตาดั่งคำซายล้อม บุศน้ำพลอยเหลือง13. แมวกระจอก กระจอก เป็นแมวดำลักษณะคล้ายแมวสิงหเสพย์แต่ลำตัวอ้วนกลมน่ารักกว่า ขนดำเป็นมัน มีสีขาวที่รอบปากเท่านั้นส่วนอื่นๆ คล้ายกัน นัยน์ตาสีเหลือง ใครเลี้ยงไว้จะได้ทรัพย์สินเงินทอง เป็นไพร่จะได้กลายเป็นนาย
บทกวีที่กล่าวถึงแมวกระจอก มีนามกระจอกนั้น ตัวกลม งามนา
กายดำศรีสรรพสม สอดพ้น
ขนขาวเฉกเมฆลม ลอยรอบ ปากแฮ
ตาประสมศรีชื้น เปรียบน้ำ รงผสาน14. แมวสิงหเสพย์ แมวสิงหเสพย์ หรือ แมวโสงหเสพย แมวชนิดนี้มีขนสีดำทั้งตัว แต่มีสีขาวอยู่บริเวณริมฝีปาก จมูกและรอบคอ นัยน์ตาสีเหลืองทอง ใครเลี้ยงไว้จะทำให้มีสมบัติเพิ่ม
บทกวีที่กล่าวถึงแมวสิงหเสพย์ เสนาะโสงหเสพยชื่อเชื้อ ดำกาย
ขาวที่ริมปากราย รอบล้อม
เวียนเถลิงสอสังข์ปลาย ณาษิก อยู่แฮ
ตาดั่งศรีรงย้อม หยาดน้ำจางแสง15. แมวการเวกแมวการเวก เป็นแมวดำอีกชนิดหนึ่ง แต่ไม่ดำหมดทั้งตัว จะมีแต่ปลายจมูกที่มีแต้มสีขาวเล็กน้อย นัยน์ตาทั้งสองข้างสีเหลืองอำพันสดใส ถ้าได้เลี้ยงจะนำโชคลาภมาให้เจ้าของเปลี่ยนฐานะขึ้นไปเรื่อยๆ
บทกวีที่กล่าวถึงแมวการเวก มีนามการเวกพื้น กายดำ
ศรีศรลักษณนำ แนะไว้
สองเนตรเลื่อมแสงคำ คือมาศ
ด่างที่ณาษาไซร้ เสวตรล้วนรอบเสมอ16. แมวจตุบทแมวจตุบท เป็นแมวสีดำ นอกจากปลายเท้าขึ้นมาจนถึงข้อพับทั้งสี่ข้างเป็นสีขาว นัยน์ตาเป็นสีเหลืองคล้ายดอกโสน ตำราว่าแมวชนิดนี้คนธรรมดาไม่ควรเลี้ยง ควรเลี้ยงเฉพาะราชนิกูล หรือเชื้อพระวงศ์เท่านั้น
บทกวีที่กล่าวถึงแมวจตุบท จตุบทหมดเฟศน้อม นามแสดง ไว้นา
โลมสกลกายแสง หมึกล้าย
สี่บาทพิศเล่ห์แลง ลายเสวตร
ตาเลื่อมศรีเหลืองคล้าย ดอกแย้มนาโสรนภาพคุณอารีย์ อยู่บำรุง กับเจ้าแซม ซึ่งเจ้าแซมคือแมวแซมเสวตร แมวไทยที่สูญพันธุ์ไปแล้วกลับมาอีกครั้ง
17. แมวแซมเสวตรแมวแซมเสวตร แปลว่า "แซมสีขาว" เป็นแมวชนิดนี้มีขนสีดำ แซมด้วยสีขาวไปทั้งตัว แต่ขนบางและค่อนข้างสั้น รูปร่างบางเพรียว ตามีสีเขียวเหมือนแสงหิ่งห้อย เดิมทีเคยเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้ได้พบอีกครั้ง
ภาพแมวแซมเสวตรจากสมุดข่อยโบราณ
บทกวีที่กล่าวถึงแมวแซมเสวตร ขนดำแซมเสวตรสิ้น สรรพภางค์
ขนคู่โลมกายบาง แบบน้อย
ทรงระเบียบสำอาง เรียวรุนห์ งามนา
ตาดั่งแสงหิ่งห้อย เปรียบน้ำทองทาแมวร้ายให้โทษ 6 ชนิดแมวร้ายพวกนี้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว
1. แมวทุพลเพศ เป็นแมวร้ายชนิดหนึ่ง มีสีขาวหม่น หางขอด หรือม้วน นัยน์ตาสีแดงเหมือนเลือด ชอบขโมยปลากินในตอนกลางคืน ใครเลี้ยงไว้จะเกิดความเดือดร้อนเป็นประจำ
บทกวีที่กล่าวถึงแมวทุพลเพศ ตัวขาวตาเล่ห์ย้อม ชานสกา
หนึ่งดั่งโลหิตทา เนตรไว้
ปลอมลักคาบมัศยา ทุกค่ำ คืนแฮ
ชื่อทุพลเพศให้ โทษร้อนแรงผลาญ2. แมวพรรณพยัคฆ์ แมวพรรณพยัคฆ์ หรือ แมวลายเสือ มีลักษณะคล้ายเสือ มีขนสีมะกอกเขียว หรือมะกอกแดง หยาบกระด้าง นันย์ตาสีแดงดั่งสีเลือด เสียงร้องโหยหวนเหมือนเสียงผีโป่งร้องตามป่าเขา ชอบหลบซ่อนตามที่มืดในเวลากลางวัน ไม่ควรนำมาเลี้ยง เพราะจะทำให้เกิดความเดือดร้อน
บทกวีที่กล่าวถึงแมวพรรณพยัคฆ์ มีพรรณพยัฆเพศพื้น ลายเสือ
ขนดั่งชุบครำเกลือ แกลบกล้อง
สีตาโสตรแสงเจือ เจิมเปือก ตาแฮ
เสียงดั่งผีโป่งร้อง เรียกแคว้นพงไสล3. แมวปิศาจ แมวปีศาจ โบราณถือว่าสัตว์เลี้ยงเพศเมีย ถ้าคลอดลูกออกมาแล้วกินลูกตัวเอง ไม่ว่าสุนัขหรือแมวห้ามเลี้ยงเด็ดขาด แมวชนิดนี้มีรูปร่างเหมือนผีร้าย ตัวผอม หนังเหี่ยวยาน หางขอดนันย์ตาสีแดงเลือด ชอบหลบตามที่มืด กลางวันเซื่องซึม กลางคืนกลับว่องไวปานผีร้าย
บทกวีที่เกี่ยวข้องกับแมวปีศาจ ปิศาจจำพวกนี้ อาจินต โทษนา
เกิดลูกออกกิน ไป่เว้น
หางขดดั่งงูดิน ยอบขนด
ขนสยากรายเส้น ซูบเนื้อยานหนัง4. แมวหิณโทษแมวหิณโทษ แมวเพศเมียอีกชนิดที่ไม่ควรเลี้ยง แม้ว่าจะมีลักษณะดี ขนสวยงาม เข้ากับเจ้าของได้ดี แต่มีข้อเสียคือ ยามตั้งท้องครั้งใด ลูกแมวมักจะตายในท้องเสมอ ใครเลี้ยงไว้จะนำภัยพิบัติมาสู่บ้าน
บทกวีที่กล่าวถึงแมวหิณโทษ หิณโทษโหจชาติเชื้อ ลักษณา
เกิดลูกตายออกมา แต่ท้อง
สันดานเพศกายปรา- กฎโทษ อยู่แฮ
ไภยพิบัติพาลต้อง สิ่งร้ายมาสถาน5. แมวกอบเพลิง แมวกอบเพลิง เป็นแมวที่ชอบอยู่ตามลำพังตามยุ้งข้าว ตามป่า ไม่ค่อยจะพบคน เวลาพบคนมักกระโดดหนี ชอบทำตัวลึกลับ ให้โทษแก่ผู้ที่นำมาเลี้ยง
บทกวีที่กล่าวถึงแมวกอบเพลิง มักนอนยุ้งอยู่ซุ้ม ขนกาย อยู่นา
เห็นแต่คนเดินชาย วิ่งคล้าย
กอบเพลิงกำหนดหมาย นามบอก ไว้เอย
ทรลักษณชาติค่างร้าย โทษแท้พลันถึง6. เหน็บเสนียด แมวเหน็บเสนียด เป็นแมวที่พิการมาตั้งแต่กำเนิด โคนหางเป็นสีด่าง เวลานั่งมักเอาหางซ่อนไว้ใต้ก้นเหมือนค่างในป่า มีนิสัยโหดร้าย เที่ยวไล่กัดแมวตัวอื่นอยู่เสมอ ถ้านำมาเลี้ยงจะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล
บทกวีที่กล่าวถึงแมวเหน็บเสนียด เหน็บเสนียดโทษร้าย เริงเข็ญ
ด่างที่ทุยหางเห็น โหดร้าย
ทรงรูปพิกลเบญ จาเพศ
แมวดั่งนี้อย่าไว้ ถิ่นบ้านเสียศรีแมวขาวมณีแมวมงคลนอกเหนือสมุดข่อย แมวขาวมณี หรือ ขาวปลอดเป็นสายพันธุ์ที่พบเห็นได้มากสุดในปัจจุบัน เป็นแมวไทยโบราณที่ไม่ได้มีบันทึกไว้ในสมุดข่อย จึงเชื่อว่าเป็นแมวที่เพิ่งกำเนิดในต้นยุครัตนโกสินทร์นี่เอง นิยมเลี้ยงไว้ในราชสำนักครั้งหนึ่งในสมัยรัชกาลที่ 5 แมวชนิดนี้เป็นที่โปรดปราณมาก ในต่างประเทศนิยมเลี้ยงกันเป็นคู่เพื่อให้ผลัดกันทำความสะอาดขน เป็นแมวที่ค่อนข้างเชื่อง เหมาะสำหรับการเลี้ยงเป็นเพื่อนได้เป็นอย่างดี
ขอขอบพระคุณรูปภาพและข้อมูลจากหนังสือเพชรร่วงจากพงศาวดารจีน
lovelyfriends2u.blogspot.com
student.nu.ac.th
th.wikipedia.org
www.blogganf.comwww.dek-d.comwww.manager.co.thwww.youtube.com