Admin Admin
จำนวนข้อความ : 448 Join date : 20/10/2012 ที่อยู่ : ถนนเจริญยาก ไม่มีรถเมล์ แถมอยู่ที่ Landlocked
| เรื่อง: กฤษณาไม้ไทยชื่อสันสกฤต Fri Oct 26, 2012 11:19 am | |
| ภาพพระกฤษณาตำนานไม่กฤษณา ในทางศาสนาพุทธ มีประวัติกล่าวไว้ว่า เมื่อพุทธเจ้าประสูติ พระหัตถ์ข้างหนึ่งถือดอกบัว เช่น เดียวกับพระกฤษณะ และพระหัตถ์อีกข้างหนึ่งถือไม้กฤษณา คำว่า "กฤษณะ" หมายถึงผู้ที่มีผิวดำ ส่วน "กฤษณา" จะหมายถึง เนื้อไม้ส่วนที่มีสีดำสะสมเป็นสารกฤษณา จากตำนานต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศอินเดีย ในทางพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู พอที่จะกล่าวไว้ว่า กฤษณาเกี่ยวข้องกับคำว่า กฤษณะ หรือมาจากคำว่า "กฤษณะ" เทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ซึ่งเป็น เทพผู้รักษา ดังนั้นในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และ ศาสนาพุทธ รวมทั้งในศาสนาอิสลามและศาสนาคริสต์ จึงให้ความเคารพไม้กฤษณาว่าเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ต้องปกป้องรักษาไว้ และมีการใช้ ไม้กฤษณาในพระราชพิธีต่างๆ ภาพต้นกฤษณาประวัติ กฤษณา เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดตราด มีถิ่นเนิดในเอเชียเขตร้อน เช่นประเทศไทย อินเดีย จีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย เป็นไม้ที่มีการกล่าวขวัญกันมายาวนานนับแต่ครั้นสมัยพุทธกาลในฐานะ “ของที่มีค่าหายาก” เป็นที่ต้องการของสังคมชั้นสูงทั่วโลกและ “ราคาแพงดั่งทองคำ” เป็นหนึ่งในของหอมธรรมชาติสี่อย่างที่เรียกว่า “จตุรชาติสุคนธ์” (กฤษณา กะลำพัก จันทน์ ดอกไม้) ที่ใช้เผาและประพรมในพิธีกรรมต่างๆ เป็นเครื่องประทินผิว และใช้เข้าเครื่องยาหอมมาแต่อดีต ไม้กฤษณาเป็นสินค้าต้องห้ามของประชาชนทั่วไปเพราะมีกฎหมายให้ค้าขายได้เฉพาะกษัตริย์ ตั้งแต่ต้นกรุงศรีอยุธยา ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ไม้กฤษณาถูกใช้เป็นเครื่องราชบรรณาการ และเป็นสินค้าไปเมืองจีน ซึ่งเป็นที่ต้องการของราชสำนักจีนมาก มีการส่งไม้กฤษณามาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย (เด่นชัดในสมัยกรุงศรีอยุธยา) และไม้กฤษณายังเป็นได้รับการผูกขาดการค้าไม้กฤษณาให้ซื้อขายจากหลวง และได้ผูกขาดต่อเนื่อง ทำรายได้แก่ประเทศชาติมาหลายยุคหลายสมัย และถูกยกเลิกในสมัย ร. 4 ทำให้ไม้กฤษณาถูกลักลอบโค่นลงเป็นจำนวนมาก เพื่อนำแก่นไม้หอมอันมีราคาสูงไปจำหน่ายยังประเทศกลุ่มอาหรับ ไม้กฤษณาชนิดที่ดีที่สุดในโลกนั้น พบหลักฐานในสมัยกรุงศรีอยุธยา ในจดหมายของบริษัทอินเดียตะวันออก ปี พ.ศ. 2222 ระบุว่าคือไม้หอมกฤษณาจากบ้านนา (Agillah Bannah) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในจังหวัดนครนายก ชนิดนี้พบมากแถวบริเวณกัมพูชา แต่ในปัจจุบันไม้กฤษณาคุณภาพดีที่สุดได้จากเขาใหญ่ ซึ่งเคยมีมากแถบดงพญาไฟ ซึ่งเป็นแหล่งผลิตไม้หอมเพื่อการส่งออกมาแต่อดีต การหาไม้กฤษณาจะมาจากบ้าน บุเกษียร ลำคลองกระตุก บุตาชุ ฯลฯ ซึ่งปัจจุบันเป็นทุ่งหญ้า อยู่ในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ในสมัยโบราณด้านสรรพคุณของกฤษณาทั้งด้านความหอมและสรรพคุณสมุนไพรแพร่กระจายไปถึงคาบสมุทรอาหรับ ตะวันออกกลาง กรีก โรมัน อียิปต์โบราณและทั่วทั้งเอเชีย ไม้กฤษณาเป็นสินค้าที่ซื้อขายกันแพงมาก ผลผลิตจากต้นกฤษณาซึ่งมีเฉพาะในเอเชีย โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น “ไม้กฤษณา” จึงเป็นสัญลักษณ์ตะวันออกและสุวรรณภูมิหรือประเทศไทยในปัจจุบัน คนไทยสมัยก่อน นิยมนำไม้กฤษณามาเผาไฟเพื่ออบห้องให้มีกลิ่นหอม จากเอกสารบันทึกของบาทหลวง ตาซาร์ด ซึ่งเข้ามาอยู่ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้กล่าวไว้ว่า “บนเส้นทางที่ผ่านไปนั้นหอมฟุ้งจรุงฆานด้วยกลิ่นไม้กฤษณา อันเป็นพรรณไม้ที่มีค่ามากและมีกลิ่นหอมหวน” ปัจจุบันชาวอาหรับ ชาวมุสลิม และชาวจีน ยังนิยมใช้ไม้กฤษณาเผาเพื่อทำให้เกิดกลิ่นหอมในปัจจุบันมีประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่สามารถส่งผลผลิตและผลิตภัณฑ์ไม้กฤษณาออกไปจำหน่ายทั่วโลกอย่างถูกต้องตามกฎหมายและตามสนธิสัญญาไซเตส เพราะประเทศไทยมีการปลูกไม้กฤษณาเป็นจำนวนมาก และเริ่มปลูกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 แล้วมีระบบปลูกที่พัฒนาขึ้นจนปัจจุบันสามารถใช้ระบบชีวภาพกระตุ้นให้เกิดสารกฤษณาในต้นกฤษณาได้ จนเป็นที่ยอมรับของตลาดทั่วโลกและได้ขึ้นทะเบียนไม้ที่ปลูกกับไซเตรสไว้ครั้งแรกจำนวน 7,404,452 ต้น ซึ่งปัจจุบันมีการปลูกทั่วประเทศประมาณ 15 ล้านต้น และไม่เพียงพอกับตลาดที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน เพราะปัจจุบันไม้กฤษณาที่มีอยู่ในธรรมชาติได้ถูกโค่นเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะเขตอุทยานเขาใหญ่ ภาพดอกกฤษณาจาก4.bp.blogspot.com www.energyenhancement.orgwww.krissana.netwww.live-rubber.comwww.lookforest.comwww.panmai.comwww.samunpri.comwww.thaikrisana.com | |
|