คลิปซานตูร์ เครื่องตีที่เป็นเครื่องสายที่ต่อมาถูกพัฒนาเป็นหยางฉินและเป็นขิมในที่สุดขิมมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Butterfly harp หรือพิณผีเสื้อประวัติเครื่องตีที่เป็นเครื่องสายขิมนับว่าเป็นเครื่องตีที่ดูแตกต่างไปจากเครื่องตีหรือเครื่องกระทบประเภทอื่นๆ เนื่องจากเป็นทั้งเครื่องตีและเครื่องสาย เครื่องดนตรีชนิดนี้น่าจะพัฒนามาจากเครื่องดนตรีประเภท "พิณ" ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงโดยเหนี่ยวสายให้เกิดเป็นเสียงด้วยนิ้วหรือวัสดุแข็งที่ทำจากกระดูกหรือเขาสัตว์ต่อมาจึงใด้คิดประดิษฐ์รูปร่างใหม่ให้เหมาะสมกับการใช้ไม้ตีลงไปบนสายให้เกิดเสียงแทนการใช้นิ้ว ในช่วง 539 - 330 ปีก่อนศริสตกาลนั้นบริเวณแถบตะวันออกกลางตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ อาณาจักรเปอร์เซีย ชาวเปอร์เซียนี้เองเป็นชนชาติแรกที่ประดิษฐ์เครื่องตีที่เป็นเครื่องสาย ชาวเปอร์เซียมีเครื่องตีที่เป็นเครื่องสาย นามว่า “ซันตูร์” และต่อมาซันตูร์ ได้แผ่ขยายพัฒนาไปยังยุโรปจนเกิดเครื่องดนตรียุโรปที่เป็นเครื่องตีที่เป็นเครื่องสายมากมาย และซันตูร์ ได้แพร่หลายเข้าไปในจีน ผ่านเส้นทางแพรไหมหรือเส้นทางสายไหม จนเกิดเครื่องดนตรีที่พัฒนาขึ้นมาจากซันตูร์ นามว่า “หยางฉิน” และต่อมาหยางฉินได้แพร่หลายเข้ามายังกัมพูชาและไทย และเกิดการพัฒนาเป็นเครื่องดนตรีชนิดใหม่นามว่า “ขิม”
คลิปการเล่นหยางฉิน เพลงมาริโอ้ประวัติและที่มาของชื่อขิมในภาษาอังกฤษขิม มีชื่อเรียกว่า พิณผีเสื้อ หรือ Butterfly Harp นั่นเอง คำว่า ขิม มาจากภาษาจีนฮกเกี้ยน ซึ่งมาจากอักษรจีน 琴 ซึ่งในภาษาจีนกลางอ่านว่า ฉิน เป็นไปได้ว่าเมื่อคนไทยถามถึงชื่อเครื่องดนตรีชนิดนี้ ชาวจีนอาจจะบอกว่าชื่อ คิ้ม ซึ่งเป็นชื่อเรียกรวมๆของขิมแต่คนไทยคงได้ยินเป็นขิมเลยเรียกกันต่อๆมาจนถึงปัจจุบันเพราะการออกเสียงคำว่า คิ้ม กับ ขิม นั้นดูจะใกล้เคียงกันมากอย่างไรก็ดีเรื่องนี้เป็นเพียงการสันนิษฐานคาดเดากันเองเท่านั้น ที่มาจริงๆยังไม่มีผู้ใดทราบแน่ชัด ขิม พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานให้คำอธิบายไว้ว่า "เครื่องดนตรีจีนชนิดหนึ่ง รูปคล้ายพระจันทร์ครึ่งซีกใช้ตี" ขิมถูกนำเข้ามาในประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยชาวจีนนำมาบรรเลงรวมอยู่ในวงเครื่องสายจีน และประกอบการแสดงงิ้วบ้าง บรรเลงในงานเทศกาล และงานรื่นเริงต่างๆบ้าง ขิมเริ่มมามีบทบาทในสมัยรัชกาลที่ 6 มีผู้นิยมบรรเลงขิมกันแพร่หลายทั่วไป ขิมจีนรุ่นแรกๆนั้นคนไทยนิยมเรียกว่า "ขิมโป๊ยเซียน" เป็นขิมที่สั่งเข้ามาจากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ที่เรียกว่าขิมโป๊ยเซียนก็เพราะขิมรุ่นนั้นนิยมวาดภาพเซียนแปดองค์ของจีนไว้บนฝาขิมต่อมาเมื่อความต้องการซื้อขิมเพิ่มมากขึ้นประกอบกับประเทศจีน ทำการปิดประเทศช่างดนตรีของไทยจึงได้คิดประดิษฐ์ขิมขึ้นมาเองโดยเปลี่ยนจากภาพเซียนแปดองค์เป็นภาพลายไทยอื่นๆเช่นลายเทพนมเป็นต้น นักดนตรีไทยนำขิมมาบรรเลงในสมัยต้นรัชกาลที่ 6 โดยแก้ไขบางอย่าง คือเปลี่ยนสายลวดทองเหลืองให้มีขนาดโตขึ้น เทียบเสียงเรียงลำดับ ไปตลอดจน ถึงสายต่ำสุด เสียงคู่แปดมือซ้ายกับมือขวามีระดับเกือบตรงกัน เปลี่ยนไม้ตีให้ใหญ่และก้านแข็งขึ้น หย่องที่หนุนสาย มีความหนา กว่าของเดิมเพื่อให้เกิดความสมดุล และมีความประสงค์ให้เสียงดังมากขึ้น และไม่ให้เสียงที่ออกมาแกร่งกร้าวเกินไปให้ทาบสักหลาดหรือหนังตรงปลายไม้ตี ส่วนที่กระทบกับสาย ทำให้เสียงเกิดความนุ่มนวล และได้รับความนิยม บรรเลงร่วมอยู่ในวงเครื่องสายผสมจนถึงปัจจุบัน
คลิปขิมของไทยไปเล่นเพลง Oh ของ Girls' Generation (SNSD)ขอขอบพระคุณข้อมูลจากth.wikipedia.org
www.thaikids.comwww.youtube.com