เกริ่นชาวไทยเชื้อสายอินเดีย หรือคนไทยเรียกกันห้วนๆว่า "แขก" หรือ "อาบัง" ในประเทศไทยนอกจากใช้เรียกชาวมุสลิมแล้ว ยังเรียกใช้เรียกอีก 3 กลุ่ม ได้แก่ แขกซิกข์ แขกนามธารี และแขกพราหมณ์ ซึ่งอพยพหนีความยากลำบากจากอินเดีย มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของไทย คำว่า "อาบัง" นั้นไว้ใช้เรียกพี่น้องชาวไทยมุสลิมเท่านั้น ซึ่งมีความหมายว่า พี่ชาย ส่วนคำว่า "ป๋า" นั้นไว้ใช้เรียกชาวไทยซิกข์ และซิกข์นามธารี ซึ่งมีความหมายว่า พี่ชาย เช่นเดียวกัน (แต่ควรใช้คำเรียกให้ถูกกับกลุ่มด้วย หากไม่มั่นใจก็เรียก “พี่” ไว้ก่อนเพราะพวกเขาก็ล้วนเป็นคนไทยเหมือนกัน)
ภาพแผนที่อาณาจักรฟูนานหรือฟูนัน
ซึ่งบรรพบุรุษอพยพมาจากอินเดียประวัติชาวอินเดียเดินทางเข้ามาเมืองสยามครั้งใดไม่ทราบแน่ชัด แต่พบว่าเข้ามาตั้งแต่สมัยก่อนกรุงสุโขทัยแล้ว ตั้งแต่สมัยอาณาจักรฟูนาน และมีการรับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และพระพุทธศาสนาจากอินเดีย เข้ามาเมืองสยามก่อนกรุงสุโขทัย ในประวัติศาสตร์ไทยยังมีชาวสยามเชื้อสายอินเดียที่มีชื่อเสียง เช่น ท้าวทองกีบม้าที่มีเชื้อสายเบงกอล เป็นต้น และวัฒนธรรมอินเดียจึงแทรกซึมเข้าไปในวัฒนธรรมสยาม แต่ทว่าทางวัฒนธรรมสยามก็นำวัฒนธรรมของอินเดียประยุกตร์ต่อยอดเกิดความคิดสร้างสรรค์ จนเป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากอินเดียในที่สุด ในปัจจุบันพบว่าชาวอินเดียในประเทศไทยพูดภาษาอินเดียได้น้อยลงแล้ว เนื่องจากเกิดในประเทศไทยและถือสัญชาติไทยจนกลมกลืนไปกับคนไทย แต่ก็มีส่วนน้อยที่ยังคงพูดภาษาดั้งเดิมของตนได้
กลุ่มชาวไทยเชื้อสายอินเดียในปัจจุบันแบ่งออกได้ 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1. ชาวซิกข์ชาวซิกข์จะมีการแต่งกายที่มีจุดเด่นคือ ผู้ชายจะโพกหัว และมีคำลงท้ายว่า สิงห์ ชาวซิกข์ทุกคนมีสัญลักษณ์ประจำกาย 5 อย่าง ได้แก่ 1 คือ เกศ คือไว้ผมให้ยาว ไม่ตัดเด็ดขาด 2 คือ กังฆะ คือ หวีอันเล็ก 3 การ่า หมายถึงกำไลข้อมือเหล็กสวมที่ข้อมือขวา 4 กาช่า คือ กางเกงในขาสั้น 5 กรีปาน หมายถึงมีดดาบโค้ง นอกจากนี้ยังห้ามกินเนื้อวัว และไม่มีรูปเคารพ แต่เมื่อมาอยู่เมืองไทย กต้องเปลี่ยนตัวเองตามสังคม เช่น มีดมีขนาดเล็กลง ยาวเพียงไม่กี่นิ้ว บางคนทำเป็นจี้ห้อยคอ บางคนเปลี่ยนจากกำไลเหล็กเป็นกำไลทอง ชาวซิกข์เดินทางจากรัฐปัญจาบเข้ามาในไทยตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยเข้ามาทางมาเลเซีย โดยผ่านภาคใต้ หรือมาทางบกโดยผ่านจากพม่า หลายคนเข้ามาเป็นพลตระเวน (ตำรวจ) แต่ส่วนใหญ่นิยมทำการค้ามากกว่า คนไทยจึงเรียกกันติดปากว่า แขกขายผ้า ชาวซิกข์ที่เปิดเป็นล่ำเป็นสันอยู่ที่บ้านหม้อ สมัยนั้นเรียก ร้านแขก เมื่อการค้าเจริญขึ้น จึงได้ชักชวนญาติพี่น้องเข้ามามากขึ้น และรวมกลุ่มตั้งแหล่งทำกินที่พาหุรัด เมื่อพาหุรัดแออัด ชาวซิกข์เลยหาที่อยู่ใหม่แถบ ท่าพระ บางแค สุขุมวิท หรือคลองตัน และที่สี่แยกบ้านแขกในเฉพาะซอยสารภี 2 ถือเป็นชนกลุ่มใหญ่ นอกจากขายผ้า ชาวซิกข์ นิยมปล่อยเงินกู้ หรือขายของเงินผ่อนด้วย
2. ซิกข์-นามธารีนามธารี (Namdhari) เป็นนิกายหนึ่งในศาสนาซิกข์โดยองค์พระศาสดา ศิริ สัตคุรุ ราม ซิงห์ (พระศาสดาองค์ที่ 12) เมื่อ พ.ศ. 2400 นอกจากการปฏิบัติตามหลักศาสนาซิกข์แล้ว ยังต้องถือบัญญัติขององค์พระศาสดา ศิริ สัตคุรุ ราม ซิงห์ ด้วย เช่น ห้ามกินเนื้อสัตว์ และไข่ทุกชนิด ต้องสวดมนต์ระลึกถึงพระนามของพระผู้เป็นเจ้า "นาม ซิมราน" (Nam Simran) ทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง ชายต้องโพกศีรษะด้วยผ้าสีขาวเท่านั้น ผู้หญิงห้ามใช้เครื่องประดับหรือแต่งหน้าทาปาก เน้นชีวิตเรียบง่าย ถิ่นที่คนกลุ่มนี้อาศัยอยู่เป็นจำนวนมากคือ สุขุมวิท สี่แยกบ้านแขก
3. พราหมณ์-ฮินดูแขกพราหมณ์ฮินดู บรรพบุรุษชาวพราหมณ์ฮินดูในไทยส่วนใหญ่เป็นชาวปัญจาบ และอุตตรประเทศ จากอินเดีย ชาวฮินดูที่อพยพมาจากรัฐปัญจาบนิยมกิจการค้าผ้าที่พาหุรัด ส่วนที่มาจากอุตตรประเทศเกือบทั้งหมดเป็นแขกยาม ก่อนที่จะลดจำนวนเมื่อทางการประกาศห้ามคนต่างด้าวทำอาชีพนี้ ชาวพราหมณ์ฮินดูนิยมตั้งถิ่นฐานในกรุงเทพมากกว่าที่อื่นๆ พวกที่มาจากรัฐปัญจาบนิยมตั้งชุมชนแถบพาหุรัด สี่แยกบ้านแขก และถนนสุขุมวิท โดยที่สี่แยกบ้านแขกอยู่หนาแน่นนับร้อยครัวเรือนในซอยสารภี 2 และกระจายตามซอยในถนนอิสรภาพ ได้แก่ซอยอิสรภาพ 3,6,8,12 และ 15 ส่วนที่มาจากรัฐอุตตรประเทศตั้งถิ่นฐานแถบหัวลำโพง
บทบาทของชาวอินเดียในประเทศสยามด้านคติความเชื่อ : เช่นพระพุทธศาสนา ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู การเวียนว่ายตายเกิดจนถึงพ้นทุกข์ ความเชื่อว่ากษัตริย์เป็นสมมติเทพ ความมงคลของหอยสังข์ ดอกบัว สิงโต ฯลฯ
ด้านการแต่งกาย : สไบพัฒนามาจากส่าหรี โจงกระเบนพัฒนาทอดต่อจากโธตี
ด้านดนตรีนาฏศิลป์ : ได้รับอิทธิพลการร่ายรำจากอินเดีย เครื่องดนตรีบางอย่างได้รับอิทธิพลมาจากอินเดียเช่น การเป่าหอยสังข์เพื่อความงคล บัณเฑาะว์ กระจับปี่
ด้านวรรณคดี : วรรณคดีที่ได้รับอิทธิพลจากอินเดียเช่นเรื่องรามเกียรติ์ นิทานเวตาล มหาภารตะ
ด้านอาหาร : การใช้น้ำมันทำอาหาร โรตี แกงกะหรี่
ด้านภาษา : ภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต มีอิทธิพลต่อมาไทยในปัจจุบันมาก และยังมีคำศัพท์ภาษาฮินดี (ภาษาอินเดีย) ในภาษาไทยบ้าง
ขอขอบพระคุณรุปภาพและข้อมูลจากth.wikipedia.org
www.amulet.in.thwww.bloggang.comwww.oknation.comwww.thaimtb.com www.thaisikh.org