ภาพอุทกทานเขตพระนคร ชาวสยามรู้จักพระแม่ธรณีผ่านทางพุทธประวัติตอนสำคัญคือ มารผจญ ที่นิยมเขียนอยู่ตามฝาผนังอาคารภายในวัด มีหลักฐานมาตั้งแต่ปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา และนิยมอย่างมากในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
พุทธประวัติตอนที่ว่าเล่าถึง ช่วงเวลาสำคัญก่อนที่พระพุทธองค์จะตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ขณะเจริญวิปัสสนาประทับอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ก่อนการตรัสรู้ พระยามารที่ชื่อ พระวัสสวตีมาร ได้ยกทัพไพร่พลมารร้ายทั้งหลายมาราวีเจ้าชายสิทธัตถะเพื่อขัดขวางไม่ให้บรรลุถึงสัมมาสัมโพธิญาณได้
ตอนนี้เจ้าชายสิทธัตถะได้ยกอ้างผลบุญและกุศลในชาติภพต่างๆที่ได้สะสมเป็นบุญบารมีมา ว่าแล้วพระองค์ท่านก็เอื้อมมือลงสัมผัสที่พื้นแผ่นดิน ตรัสอัญเชิญพระแม่ธรณีผู้รู้เห็นในการบำเพ็ญกุศลทุกชาติภพของพระองค์ขึ้นมาเป็นพยาน
เมื่อพระแม่ธรณีปรากฏพระวรกายขึ้นก็บิดเอา “น้ำ” ออกจากมวยพระเกศาอย่างมากมายมหาศาลจนท่วมท้นหมู่มารทั้งหลายแตกพ่ายไปกับสายน้ำ เจ้าชายสิทธัตถะจึงเจริญภาวนาสติต่อไปอย่างปลอดภัยไร้กังวลจนบรรลุธรรมถึงขั้นตรัสรู้ ในค่ำคืนวันนั้นนั่นเอง จึงไม่น่าแปลกใจอะไรเลยที่คนไทยพุทธอย่างที่เห็นๆกันโดยทั่วไป ทำบุญหรือตักบาตรเสร็จแลวจะมีกิจสำคัญอีกอย่างคือ การกรวดน้ำ ที่ว่ากันว่าเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้อื่น
สิ่งที่เรียกว่า “บุญ” แบบไทยๆ จึงเป็นบุญที่ทำแล้วต้องเคลมกันแล้วนะครับ อย่างน้อยก็ต้องมีพระแม่ธรณีมาเป็นพยานให้
ในแง่บุคคลาธิษฐาน “พระยาวัสสวตีมาร” ในพุทธประวัติตอนดังกล่าว เป็นหัวหน้าใหญ่ของเหล่ามารทั้งหลาย แต่ในขณะเดียวกันปรัมปราคติของพุทธศาสนาเองก็ถือว่า พระยาวัสสวตีมาร เป็นราชาแห่ง ปรนิมมิตวัสวตี สวรรค์ชั้นที่ 6 อันเป็นสวรรค์ชั้นสูงสุดในฉกามาพจรภพ หรือสวรรค์ทั้ง 6 ห้องฟ้า ก่อนจะถีงดินแดนของเหล่าพรหม คือพรหมโลก
ทำไม ตามคติในศาสนาพุทธ พระยามาร ถึงกลายเป็นราชาผู้ปกครอง ฉกามาพจรภพ?
ในหนังสือเรื่อง “มาร” ที่อดีตอธิบดีที่ปราดเปรื่องเชิงวิชาความรู้ที่สุดเท่าที่กรมศิลปากรเคยมีมาอย่าง คุณธนิต อยู่โพธิ์ ได้ศึกษาเปรียบเทียบและสรุปร่องรอยหลักฐานทางวรรณคดีต่างๆ แล้วเอาไว้ว่า “วัสสวตีมารเทพบุตร” ในศาสนาพุทธก็คือ “พระกามเทพ” ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
โรแมนติกทีเดียวนะครับ สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสละได้เป็นสิ่งสุดท้ายก่อนจะตรัสรู้ ไม่ใช่บาปบุญในเรื่องทางโลกที่ไหนไกล เป็นเรื่องธรรมดาๆอย่าง “ความรัก” นี่เอง
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่พระยาวัสสวตีมารจะทรงคันธนู และลูกศรอยู่ในมือ ก็เพราะมีต้นแบบมาจากพระกามเทพนี่เองพระกามเทพของพราหมณ์ก็ทรงคันธนูกับลูกศร โดยมีรายละเอียดว่า คันธนูของพระองค์ทำมาจากชานอ้อย มีสายธนูที่เรียงร้อยมาจากฝูงผึ้งที่เรียงตัวกันเป็นคันสายไว้โน้มศร ศรของพระองค์มี 5 ดอก หัวลูกศรทำมาจากดอกไม้ที่แตกต่างกัน 5 ชนิด ให้ฤทธิ์และรสชาติแห่งรักที่แตกต่างกัน 5 ประการ
ใครที่อ่านพุทธประวัติตอนมารผจญคงจำได้ว่า พระยามารแผลงศรจนมืดฟ้ามัวดินเข้าใส่พระโพธิสัตว์สิทธัตถะ (ศาสนาพุทธเถรวาท ถือว่าเจ้าชายสิทธัตถะเป็นพระโพธิสัตว์) แต่แล้วศรเหล่านั้นกลับกลายเป็นดอกไม้นานาชนิดร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน หรือความรักไม่ว่าจะมีสักกี่ร้อยพันชนิด ก็ไม่อาจทำให้จิตใจที่มุ่งสู่พระนฤพานหวั่นไหวได้?
พระแม่ธรณีเป็นผู้นำเอาน้ำ ซึ่งก็คือสัญลักษณ์ของบุญบารมีที่พระพุทธองค์เคยประกอบไว้ พัดพาความรักและบริวารตัวประกอบทั้งหลายออกไปจากจิตใจของพระพุทธองค์จนสูญสิ้น
แต่พระแม่ธรณีในอินเดียกลับไม่เคยบีบมวยผมเหมือนอย่างในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลยตามปกรณ์ของพุทธศาสนาในอินเดีย พระพุทธเจ้าใช้พระหัตถ์สัมผัสกับพื้นแผ่นดินแล้วอัญเชิญ พระแม่ธรณีมาเป็นพยานก็จริง แต่บุญบารมีของพระพุทธองค์ก็ทำให้พื้นแผ่นดินทั้งมวลสั่นไหว จนหมู่มารไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ ไม่มีน้ำไหลบ่าจากที่ไหนมาเลยสักนิดน่าประหลาดที่รูปพระแม่ธรณีบีบมวยผม กลับปรากฏอยู่แรกสุดที่ปราสาทหินในวัฒนธรรมขอมโบราณ ซึ่งไม่ได้นับถือศาสนาพุทธเถรวาทเป็นหลัก แต่เป็นมหายาน (แต่รู้จักพุทธเถรวาทสายลังกาแน่) ไม่ว่าจะเป็นที่ปราสาทเบงเมเลีย (บึงมาลา) ปราสาทตาพรหม ปราสาทบันทายกะเดย และปราสาทวัดนคร ปราสาทเหล่านี้ล้วนแต่สร้างในช่วงตั้งแต่ศิลปะนครวัดลงมา คือสร้างหลัง พ.ศ. 1650 โดยประมาณ หรือสยามจะรู้จักเรื่องพระแม่ธรณีบีบมวยผมผ่านมาทางขอม?
ขอบพระคุณรูปภาพและข้อมูลเป็นอย่างสูงจากเฟสบุ๊ค เมด อิน อุษาคเนย์
www.andybrouwer.co.uk